วันที่ 13 มิถุนายน 2566 ร.ต.อ.เจนวัธน์ วิทยารติโชติตระกูล รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับแจ้งเหตุ หลานเสพยาบ้าหลอนคุ้มคลั่งใช้มีดแทงยายเสียชีวิต ชาวบ้านช่วยกันจับผู้ก่อเหตุไว้ได้ เหตุเกิดที่บ้านตูม ต.หนองนาคำ

จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.จามร อันดี ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี พ.ต.ท.บรรจง พาโคตร สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี แพทย์เวร รพ.ศูนย์อุดรธานี อาสากู้ภัยอุดรสว่างเมธาธรรมรุด กู้ชีพ อบต.หนองนาคำ รุดไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียว พบศพนางสมุทร อายุ 79 ปี เจ้าของบ้าน อดีตแม่บ้านโรงงานผลิต ถุงเก็บความเย็น ถุงฟอยล์เก็บความเย็น ถูกของมีคมปาดและแทงเสียชีวิตอยู่ในห้องน้ำ สวมเสื้อคอกระเช้าสีเขียว กางเกงขาสามส่วนสีน้ำเงิน พบกองเลือดอยู่หน้าที่ล้างจาน และมีดทำครัวปลายแหลมเปื้อนเลือดยาวประมาณ 1 ฟุตวางอยู่ และมีรอยลากเป็นคาบเลือดเข้าไปในห้องน้ำ

จากการชันสูตรพบถูกมีดปาดลำคอจนหลอดลมขาด บริเวณใบหน้าและริมผีปากถูกปาดหลายแผล หลังศีรษะถูกเฉือน หน้าท้องด้านขวา และใต้ราวนมด้านขวาถูกปาดเป็นแผลยาว และถูกแทงบริเวณลิ้นปี่

ส่วน ฆาตกรคือนายศิริ หรือ แล็ค อายุ 28 ปี หลานชายผู้ตาย ถูกนายไพบูลย์ พลโต อายุ 58 ปี ผู้ใหญ่บ้านตูม และชาวบ้านช่วยกันจับกุม ใช้เชือกมัดมือไขว้หลังนอนคว่ำหน้าอยู่บริเวณหน้าบ้าน มีแผลมีบาดที่มือซ้าย

โดยยังมีอาการมึนเมา ให้การไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง ตื่นมายายก็ตายแล้ว ยิงผมเลยจะได้ไปอยู่กับยาย จากการตรวจค้นห้องนอนนายศิริ พบยาบ้า 2 เม็ด และอุปกรณ์การเสพ ตำรวจได้ควบคุมตัวนายศิริไปโรงพัก

ซึ่งญาติและชาวบ้านพยายามเข้าไปรุมประชาทัณฑ์ และบอกให้นำไปฆ่าทิ้ง แต่เมื่อมาถึงโรงพัก นายศิริมีอาการสงบลงมาก

พร้อมให้การว่า ผมไม่มีสาเหตุที่จะต้องฆ่ายาย แต่ตามหลักฐานตนเป็นคนฆ่ายาย ตนไม่เข้าใจว่าฆ่ายายทำไม อยากบอกว่าผมรักยายตลอด อยากขอโทษยาย จากใจเลย สิ่งที่ตนทำไปผิดแน่นอน

ด้าน น.ส.โสรยา อายุ 34 ปี ซึ่งมีบ้านอยู่ตรงข้ามบ้านที่เกิดเหตุ และเห็นเหตุการณ์ เล่าว่า พวกตนกลับมาจากเก็บเห็ด เลยมานั่งกินข้าวบนโต๊ะ ผู้ก่อเหตุขี่ จยย.เข้าไปในบ้าน ไม่นานเดินกลับมาลักษณะหน้าตาตื่น ตัวสั่น หน้าซีด จึงถามว่าเป็นอะไร ผู้ตายก็วิ่งรอบบ้านไปหมอบ ไปซ่อน ไม่นานก็เห็นผู้ตายเดินตามหลังผู้ก่อเหตุมา สักครู่เห็นผู้ตายเดินตามหลังหลานเข้าไปในบ้าน

ต่อมาได้ยินเสียงลักษณะคล้ายคนทำร้ายกัน จึงหันไปดูก็พบยายล้มลง ผู้ก่อเหตุใช้มีดฟันและแทงยาย ก่อนลากยายเข้าไปในห้องน้ำ พวกตนมีแต่ผู้หญิง ไม่กล้าเข้าไปช่วย ได้แต่ร้องกรี๊ดๆ ให้ชาวบ้านมาช่วย แต่ยายก็ถูกฟันแทงหลายแผล ผู้ใหญ่บ้านนำผู้ชายเข้ามาช่วยกันจับตัวผู้ก่อเหตุ และส่วนยายเสียชีวิต

น.ส.ทิพวรรณ อายุ 33 ปี หลานสาวผู้ตาย เล่าว่า นายศิริไม่ยอมไปทำงาน ตนอยู่บ้านติดกันกับยาย ก่อนเกิดเหตุ ยายเดินไปหาตนที่หลังบ้าน ถามว่ายายกินข้าวยัง ยายบอกว่ากินแล้ว และได้ถามว่าอาการนายศิริเป็นอย่างไร ยายบอกว่าอาการนายศิริยังคุ้มดีคุ้มร้าย ตนจึงเอาน้ำมันไปส่งพ่อที่กระท่อมนา ชาวบ้านมาบอกว่านายศิริฆ่ายายตาย ตนจึงรีบกลับมาดู

ซึ่งเมื่อคืนนายศิริจับยายขังไว้ในห้อง จับยายกระแทกถามหาเอกสารทางราชการ หาว่ายายไปซ่อนไว้ เพราะจะเอาไปสมัครงาน ตนจึงไปห้ามว่าอย่าทำยาย นายศิริเสพยาบ้าจนหลอนและเสพหลายอย่างรวมกัน คนที่อยู่บ้านด้วยกลัวจนหนีไปอยู่ที่อื่น พวกตนอยากให้ยายไปอยู่ที่อื่นแต่ยายไม่ยอมไป เหลือยายอยู่กับนายศิริแค่ 2 คน ไม่คิดว่ามันจะฆ่ายายเร็วขนาดนี้

ส่วนนางจันทร์เพ็ญ อายุ 45 ปี แม่นายศิริและลูกสาวผู้ตาย เล่าว่า ตนทำงานเป็นแม่บ้านที่ห้างแห่งหนึ่งในเขตเทศบาลนครอุดรธานี ส่วนนายศิริทำงานรับจ้าง เคยมีภรรยาและลูก 1 คน แต่ภรรยาได้หอบลูกหนีไป 7-8 เดือนแล้ว ทำให้หันมาเสพยาบ้าจนมีอาการหลอน และไม่ยอมไปทำงาน คนที่อาศัยอยู่ในบ้านก็หนีหมดเพราะกลัวจะไม่ปลอดภัย

ก่อนเกิดเหตุนายศิริเสพยาบ้าและกัญชาจนมีอาการหลอน 3 วัน ตนกลัวจึงหนีไปเช่าห้องอยู่ ตนชวนแม่ไปอยู่ด้วย แต่แม่ไม่ยอมไป บอกให้ไปอยู่บ้านญาติที่หนองหินก็ไม่ไป เพราะห่วงนายศิริหลานชาย กระทั่งมาถูกหลานชายหลอนยาฆ่าตาย ซึ่งตนเสียใจมาก จะไม่ยอมให้อภัยลูกคนนี้เด็ดขาด

พ.ต.อ.จามร อันดี ผกก.สภ.เมืองอุดรานี เปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้น สาเหตุเกิดจากความเครียด นายศิริได้เลิกกับภรรยา และ มาเสพยาเสพติดจนเกิดอาการคุ้มคลั่ง ซึ่งจากการตรวจค้นพบยาบ้าในตัว 2 เม็ด

เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ฆ่าบุพการี” ไว้ก่อน เนื่องจากเป็นยายที่เลี้ยงผู้ต้องหามาตั้งแต่เด็ก ในส่วนที่ประชาชนที่อยู่กับบุตรหลาน ที่มีอาการเกิดจากจิตเวช ซึ่งทาง ตร.ภาค4 มีโครงการ “นาคาพิทักษ์รักประชา” ซึ่งได้มีการสำรวจ เป็น 5 กลุ่ม ให้ประชาชนส่งรายชื่อเพื่อจะได้มีมาตรการควบคุม ทางหน่วยงานจะได้เข้าดูแลคนกลุ่มนี้ ถ้าไม่แจ้ง จะไม่ได้ข้อมูลในการเข้าไปดูแล ซึ่งรายนี้ก็มีอาการจากยาเสพติดทำให้หลอนและลงมือก่อเหตุดังกล่าว