คืบหน้าหนุ่มสาดน้ำกรดอดีตเมีย ล่าสุด เข้ามอบตัวแล้ว พร้อมเผยปมสลด พยายามมาง้อขอคืนดี แม้ฝ่ายหญิงมีลูกคนที่ 5 กับชายชู้

ภายหลังที่มีผู้ใช้ TikTok @louistik14 โพสต์คลิปเหตุการณ์หญิงสาวถูกสาดด้วยน้ำกรดเข้าบริเวณใบหน้า จนต้องวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือในที่ร้านเสริมสวยแห่งหนึ่ง ในเขตดอนเมือง กรุงเทพฯ พร้อมระบุข้อความว่า “ช่างร้านเสริมผมเจอเหตุการณ์ไม่คาด น้องโดนน้ำกรดสาดหน้ากัน สงสารมาก” เหตุเกิดเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เจ้าของร้านเสริมสวย เล่านาทีสุดช็อก ช่วยสาวโดนสาดน้ำกรด วิ่งหนีตายมาเขย่าประตู
ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (13 ก.ย.) พ.ต.อ.ชนัตถ์ กวีขาวฉลาด ผกก.สภ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายสมประสงค์ อายุ 31 ปีอดีตพน้กงานโรงานผลิต กันกระเทก บับเบิ้ล ผู้ก่อเหตุได้เดินทางเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปักธงชัย

เบื้องต้น ผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุทำร้ายภรรยา คือ นางสาวธนธรณ์ อายุ 25 ปี จนได้รับบาดเจ็บสาหัสจริง ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำบันทึกรับมอบตัว และได้ประสานให้ตำรวจ สน.ดอนเมือง เดินทางมารับตัวผู้ต้องหารายนี้แล้ว

นายสมประสงค์ อายุ 31 ปี ผู้ก่อเหตุ เปิดเผยว่า ตนรู้จักกับภรรยาของตนเมื่อประมาณ 7 ปีก่อนที่ จ.ภูเก็ต โดยตนทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ส่วนฝ่ายหญิงทำงานร้านเสริมสวย ซึ่งในตอนนั้นฝ่ายหญิงมีลูกติดมาด้วย 1 คน

และตนก็ได้คบหาอยู่กินกับฝ่ายหญิงจนมีลูกด้วยกันอีก 3 คน ต่อมาพวกตนได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ฝ่ายหญิงก็ไปมีคนอื่น และก็มีลูกกับชายคนอื่นอีก 1 คน พร้อมกับพยายามขอเลิกกับตน

ก่อนเกิดเหตุตนได้ไปขอคืนดีกับฝ่ายหญิง และขอให้กลับมาดูแลลูกด้วยกัน แต่ตกลงกันไม่ได้ ตนจึงเกิดความโมโหใช้น้ำกรดที่เตรียมไปด้วยสาดใส่ฝ่ายหญิงดังกล่าว

หลังก่อเหตุตนก็ได้หนีมาบ้านเกิดที่ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา และได้เอาลูกๆ ทั้ง 4 คน ตนโตอายุ 5 ปี 4 ปี 3 ปี และ 1 ปี ตามลำดับ มาฝากไว้ให้กับแม่ของตนช่วยดูแล

ส่วนลูกอีก 1 คน ซึ่งเป็นลูกของชู้ฝ่ายหญิง อายุ 2 เดือน ได้ยกให้เป็นลูกบุญธรรมของผู้ใจบุญไปเลี้ยงแล้วตั้งแต่คลอด ก่อนที่ตนจะตัดสินใจเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าว

ด้าน นางมาลี อายุ 50 ปี แม่ของนายสมประสงค์ผู้ต้องหา เปิดเผยว่า หลังทราบเรื่องราวตนก็ได้พูดจากล่อมลูกชายให้เข้ามอบตัว ส่วนลูกๆ ของลูกชาย ตนก็คงต้องอดทนสู้เลี้ยงดูหลานๆ ทั้ง 4 คน แต่ครอบครัวของตนก็ยากจน และถ้าหากตนเลี้ยงไม่ไหวจริงๆ ก็คงต้องให้สถานสงเคราะห์ช่วยรับตัวหลานไปช่วยรับเลี้ยง