หลังจากสูญเสียคุณยายสุดที่รักไปอย่างกะทันหันได้เกือบ 1 เดือนเต็ม สำหรับ ดีเจมะตูม-เตชิน พลอยเพชร ก็เริ่มเรียกสติกลับมาได้ดีขึ้นตามลำดับ เรียกว่าได้ความแข็งแกร่งจาก ถุงขยะ ถุงใส่ขยะ คุณยายมาเต็มๆ แต่ล่าสุด มะตูม ได้มาเปิดใจกับ หนูแหม่ม สุริวิภา ในรายการโต๊ะหนูแหม่ม เป็นครั้งแรกว่าไม่เคยรู้เลยว่าป่วยเป็นลูคีเมียระยะ 3 ยายปิดเรื่องนี้มาตลอด เพียงเพราะไม่อยากให้ลูกหลานมารับผิดชอบชีวิตป่วยของเขา
ตอนนี้ความรู้สึกเราเป็นยังไง ?
“ดีขึ้นตามลำดับครับ ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็จะมีบางช่วงที่เห็นคนแก่เดินทางหรือคนทัก มันก็ยังมีรู้สึกบ้าง แต่เวลาที่เราจะดาวน์ หรือเราจะร้องไห้ ถ้ายายอยู่จะบอกว่าอย่าร้องเรา ก็จะมีประมาณนี้ครับ ซึ่งเขาเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมากเข้มแข็งมาก”
วันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ?
“ช่วงก่อนที่คุณยายจะเสีย คุณแม่ได้ทักมาว่าคุณยายเข้าโรงพยาบาลแต่ไม่ได้เป็นอะไรหนักมาก ซึ่งคุณหมอบอกว่าคุณยายหมดแรงอยู่ที่บ้านสวน เราก็รีบไปดูที่โรงพยาบาล ซึ่งตอนนั้นดึกมากแล้วไปก็เห็นคุณยายนอนปกติ เขาก็ยังทักเราปกติสื่อสารปกติเลย ซึ่งพอเราไปหาคุณยายเสร็จแล้วเราก็ออกมา คุณหมอก็เลยบอกว่าให้ทำใจเราก็เลยตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นหรอ จากผลตรวจชิ้นเนื้อคุณยายเป็นลูคีเมียระยะสาม ซึ่งไม่มีใครในครอบครัวที่รู้เลยสักคนเดียว”
“ซึ่งก็จะมีหลานอีกคนนึงที่พาคุณยายไปหาหมอ แต่เวลาฟังผลตรวจคุณยายเขาจะเก็บเงียบคนเดียว แต่เหมือนว่าคุณยายปฏิเสธการรักษา ซึ่งเขาเคยพูดกับแม่เราว่า ถ้าให้เลือกระหว่างไปเลยกับที่จะต้องมาเจาะท่อเจาะอะไร หรือให้ครีโมผมร่วง เขาไม่เอา เขาต้องสวย เขาจะไม่ยอมไม่สวย พอวันที่ 11 ตอนกลางคืนจะทำเรื่องย้ายให้คุณยายเป็นห้องพิเศษ เพราะตอนนั้นคุณยายอยู่ในห้องกักเชื้อที่เป็นกระจกใสยังเข้าพบไม่ได้ เราก็เลยอยากให้เขาได้อยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ ให้ลูกหลานไปไหว้ในวันแม่ แต่สุดท้ายก็ต้องเอาพวงมาลัยไปให้ที่วัดเพราะไม่ทัน”
“ซึ่งนี่น่าจะเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเรา เพราะคุณพ่อคุณแม่ก็ยังอยู่ครบหมด แต่คุณยายเป็นคนที่เราโตมาด้วยจริงๆ เพราะเขาเป็นคนเลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก ซึ่งแม่ไปทำงานต่างประเทศ พ่อไปทำงานต่างประเทศ เราอยู่กับคุณยายมาตั้งแต่เด็กจนอายุ 16-17 เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์เราระหว่างยายหลานมันแน่นแฟ้นมาก จนเราไม่คิดว่ามันจะเป็นความจริง”
“ส่วนตัวเราเองคิดว่าไม่น่าจะแข็งแกร่งเท่าคุณยาย แต่เราพยายามที่จะเอาบางชิ้นบางๆ ไว้ในตัวเราให้ได้ เพราะเราก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเขา ซึ่งคุณยายจะสอนเราตลอดเวลาเราล้มแล้วต้องลุกให้ได้ เราจะคุยกันทุกเรื่องกับคุณยาย เคยคุยแม้กระทั่งจะกลับมาในวงการบันเทิงยังไงด้วยซ้ำ ซึ่งคุณยายก็นั่งวางแผนให้เลยว่าไม่ต้องไม่ซื้อของแพงๆ รอบนี้กลับมาเก็บเงิน เขาจะบอกให้เก็บเงินไม่ต้องใช้เงินเยอะ อย่าไปซื้อของแพง อย่าไปคบเพื่อนกลุ่มไฮโซมากภาษีสังคมมันแพง”
“ส่วนจุดเริ่มต้นการทำ YouTube กับคุณยายมาจากหลังจากที่เราสึกบวชพระแล้วไปกราบขอขมาคุณยาย เราก็เตรียมทีมงาน YouTube ไปด้วย เพราะรายการออกมาทีมงานก็บอกว่าคุณยายโบ๊ะบ๊ะมาก เหมาะที่จะเอามาทำรายการด้วยกัน เพราะออกอากาศไปกระแสตอนนั้นคือดีมาก เพราะแฟนคลับเรียกร้องอยากให้เรากับคุณยายมีรายการด้วยกัน เราก็เลยไปถามยาย คุณยายก็เลยบอกว่ายายอยากทำ ยายอยากทำให้คนรักหนู”
เรียนรู้อะไรจากการสูญเสียใหญ่ครั้งนี้ ?
“เยอะมากเลยครับ เรียนรู้ทุกช่วงเวลาทุกวินาทีให้เกิดประโยชน์และคุณค่ากับคนที่เรารัก โดยเฉพาะครอบครัวมันมีความสำคัญมากขนาดไหน เมื่อก่อนเวลาแม่ตูมจะขอกินข้าวต้องเช็คคิวจากผู้จัดการ ตูมไปโฟกัสที่งานที่เงินมากเพราะเราอยากสำเร็จ แต่พอวันที่เราได้บ้านแล้วแต่ไม่มีเขา ตูมมานั่งถามตัวเองว่าทำไมเราไม่เคยพาเค้าไปกินอันนี้นะ แต่มันจะมีบางอย่างที่เราโทษตัวเองนิดนึง แต่เราเชื่อว่าเราทำดีที่สุดแล้วในฐานะหลาน การจากไปของเขามันเป็นการเสียสละขอเลือกที่จะไม่ให้เรารับผิดชอบชีวิตป่วยของเขา เลือกที่จะไปเลยงั้นแสดงว่าเขาต้องการให้พวกเราดูแลรักใคร่สามัคคีกันในครอบครัวช่วยเหลือกันและกัน”