เมีย “เสี่ยบี” ครวญไม่คิดหลบหนี พร้อมชดใช้ดูแลผู้เสียหาย ยอมรับสภาพจิตใจย่ำแย่ ยันทำกับสามี 2 คน ไม่มีคนมีสีมาร่วม
จากกรณีเหตุการณ์เพลิงไหม้ผับดังเมืองสัตหีบ “เมาน์เทนบี” ในช่วงเวลา 01.00 ของวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา ริมถนนสายสุขุมวิทย่านโรงงานผลิตถุงกระดาษคราฟท์และถุงกระดาษเคลือบมัน ม.7 ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ขณะที่มีนักท่องเที่ยวราตรีกำลังใช้บริการ 100 กว่าชีวิต เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 15 ราย และผู้บาดเจ็บจำนวนมาก
(6 ส.ค.) นางอนงค์นารถ ปั้นประสงค์ อายุ 31 ปี ภรรยาของ “เสี่ยบี” เปิดเผยว่า ในเหตุการณ์วันนั้นร้านก็ได้เปิดให้บริการตามปกติ โดยในส่วนของผู้บริหารทั้งเสี่ยบี และตนเอง มีนัดกันจะเข้าไปเช็คซาวน์ในร้านที่ได้ทำการปรับเปลี่ยนใหม่ หลังเช็คสต๊อกของเสร็จ ด้วยนัดทางช่างที่มาทำการติดตั้งไว้แล้ว แต่ปรากฏว่าหลังเข้าไปได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นจากบริเวณด้านใน ก่อนไฟจะลุกลามขึ้น จากนั้นจึงจะโกนบอกทุกคนว่าไฟไหม้ ให้รีบหลบหนีออกมาด้านนอก พร้อมสั่งการให้พนักงานช่วยเหลือลูกค้าที่ติดอยู่ภายใน
โดยตนเองก็พยายามวิ่งเข้าไปร่วมด้วย แต่ขณะนั้นก็เกิดกลุ่มควันดำพวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรง ช่วงนั้นหลังตั้งสติได้ก็ตัดสินใจโทรแจ้งขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยกู้ภัยและดับเพลิง จนการ์ดของทางร้านได้ตะโกนบอกว่าห้ามเข้า ภายในกำลังจะระเบิด จึงวิ่งออกมาหลบด้านนอก ก่อนเกิดการระเบิดขึ้นซึ่งมีเปลวไฟโหมออกมาด้านนอกอย่างรุนแรง จึงเข้าไปหลบในห้องด้านนอก ซึ่งจังหวะนั้นก็มีผู้บาดเจ็บที่ลำตัวมีเปลวไฟวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือ จึงพยายามดับไฟและผ้าห่มมาคลุมตัวไว้ โดยส่วนตัวยอมรับว่าสภาพของผู้ได้รับบาดเจ็บเห็นแล้วยังรู้สึกทำใจไม่ได้ และเหตุการณ์ถือว่าชุลมุนเป็นอย่างมาก กระทั่งหน่วยกู้ภัยมาถึงจึงได้ร้องขอความช่วยเหลือ
นางอนงค์นาถ เปิดเผยต่อว่า ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ทั้งสามีและตนเองก็อยู่ และพยายามช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่ได้หลบหนีไปแต่อย่างใด โดยตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นก็อยู่โรงพักมาตลอด 2 วัน ไม่ได้อาบน้ำเนื้อตัวมีแต่กลิ่มไหม้ ขณะที่สภาพจิตใจก็ย่ำแย่เป็นอย่างมาก ทั้งนี้สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องกราบขออภัยผู้ที่ประสพเหตุและครอบครัวเป็นอย่างมาก ด้วยไม่ได้มีเจตนาให้เหตุการณ์มันเกิดขึ้น ส่วนตนเองและสามีก็เป็นเพียงแค่คน 2 คน ที่พยายามทำมาหากินเท่านั้น และพร้อมจะรับผิดชอบดูแลทุกอย่างที่สามารถทำได้ แม้ว่าสิ่งที่พูดจะไม่สามารถชดใช้เรื่องที่เกิดขึ้นได้ก็ตาม ซึ่งต้องขอโทษจากใจจริงๆ
ส่วนกรณีที่สังคมตั้งข้อสงสัยว่า มีคนมีสีมาเอี่ยว มีนักการเมืองเป็นแบ็คอัพให้นั้น เรื่องจริงคือไม่มีใครมาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่ความคิดของตนเองและสามีเท่านั้น ที่อยากจะเปิดกิจการเป็นของตัวเองเพื่อทำธุรกิจและดำเนินชีวิต