จากการสอบสวนเบื้องต้น ด.ญ.เอ ให้การว่า เมื่อหลายวันก่อนตนเองได้ขี่รถจักรยานยนต์ของพ่อเลี้ยงออกไปหาเพื่อน และนอนพัก 3 คืน ทิ้งลูกไว้กับแม่ดูแล พอกลับมาบ้านพ่อเลี้ยงได้ทำร้ายตนโดยตบที่ใบหน้าแล้วก็ปาก 2-3 ที เสียใจและน้อยใจจึงหอบลูกหนีออกจากบ้านมาขอพักอาศัยที่บ้านเกิดเหตุ ก่อนจะตัดสินใจฆ่าลูกในไส้ด้วยน้ำมือของตนเอง ก็นั่งร้องไห้คิดอยู่นานกว่า 2 ชั่วโมงว่าจะเอาอย่างไรดีกับชีวิตตนและลูก จากนั้นจึงตัดสินใจนำเชือกไนลอนผูกเป็นบ่วงมัดติดกับแปบ้าน ก่อนจะอุ้มลูกน้อยขึ้นไปใช้บ่วงรัดคอลูกชาย แล้วปล่อยมือเห็นลูกชายดิ้นอยู่สักพักก่อนจะแน่นิ่งขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตา แล้วเดินเข้าไปในบ้านครุ่นคิดอยู่ประมาณ 20 นาทีจึงกลับไปดูลูกอีกครั้ง เห็นว่าเสียชีวิตแน่แล้วจึงเอาลูกชายที่เป็นศพแล้วออกจากบ่วง แก้บ่วงออกจากแปบ้านไปทิ้ง และนำผ้าห่มมาห่มศพลูกก่อนจะนำไปไว้หลังบ้านข้างน้องน้ำและใช้รถเข็นเด็กทับร่างไว้อีกที จากนั้นโทรศัพท์ให้เพื่อนมารับ ไปเปิดห้องพักนอนที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 3 กิโลเมตร
ด.ญ.เอ เล่าต่อไปว่าวันต่อมาย้อนกลับมาดูศพลูกชายอีกที พร้อมกับมาเก็บเอาเสื้อผ้าไปเที่ยวต่อกับเพื่อน และวันนี้ก่อนถูกจับกุมได้ย้อนกลับมาบ้านเกิดเหตุดูศพลูกชายอีกที จึงถูกควบคุมตัวไว้ได้ดังกล่าว ยอมรับว่าที่ก่อเหตุฆ่าลูกชายเพราะเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจที่โดนแม่ด่าและพ่อเลี้ยงทำร้าย ด้วยความคิดไม่ตกประกอบกับโมโหหาทางออกไม่ได้ จึงก่อเหตุดังกล่าว
ด้านนางเพ็ญประภา อายุ 40 ปี แม่ของเด็กหญิงเอผู้ก่อเหตุสลด เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุได้มีเรื่องทะเลาะกันจริง และพ่อเลี้ยงได้ตบหน้าไป 2 ที ทำให้เด็กหญิงเอไม่พอใจ พาลูกหอบหนีมาอยู่บ้านหลังนี้กับเพื่อน ที่ผ่านมาก็เกิดเรื่องแบบนี้ประจำ เวลาหนีออกจากบ้านก็จะเอาลูกไปด้วย บางทีก็เอาไปไว้กับเพื่อน และพ่อแท้ๆ ของเขาที่ทำงานก่อสร้างอยู่ในบึงกาฬ หนีไป 2-3 วันก็กลับมาบ้าน แม่ก็ให้อภัยทุกครั้ง และเมื่อรู้ว่าลูกไปพักอยู่กับใครที่ไหนก็จะตามไปดูด้วยความเป็นห่วง บางทีก็หนีไปเฉพาะตัวคนเดียว ส่วนลูกชายก็ทิ้งให้แม่เลี้ยงดู คราวนี้ไม่คิดว่าลูกสาวจะฆ่าลูกชายตัวน้อยๆ ของตัวเองได้ลงคอถึงเพียงนี้